ดื่มน้ำมากไปอาจไม่ดีต่อสุขภาพ ดื่มน้ำเวลาไหนได้ประโยชน์สูงสุด?

คุยกันได้ แวะมาทักทาย ทุกเรื่อง จับฉ่าย รวมมิตร บ้านเล็กบ้านน้อย
พูดคุยเรื่องนอกบ้าน
smanpruksa
Full Member
Full Member
โพสต์: 113
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. 02 ก.ค. 2020 4:23 pm

ดื่มน้ำมากไปอาจไม่ดีต่อสุขภาพ ดื่มน้ำเวลาไหนได้ประโยชน์สูงสุด?

โพสต์โดย smanpruksa » พุธ 05 ม.ค. 2022 9:50 am

แม้จะมีข้อมูลด้านสุขภาพออกมามากมายเรื่องการดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอกับความต้องการในแต่ละวันของร่างกาย (เคล็ดลับการดื่มน้ำเพื่อสุขภาพ คลิก https://www.smk.co.th/newsdetail/162) แต่วิธีดื่มน้ำให้ดีต่อสุขภาพที่แท้จริง อาจไม่ใช่แค่การดื่มน้ำให้มาก แต่เป็นการดื่มน้ำในปริมาณที่เหมาะสมทั้งปริมาณและช่วงเวลาด้วย การดื่มน้ำที่มากเกินไปส่งผลอย่างไรต่อสุขภาพ และควรดื่มเวลาไหนเพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุด

ดื่มน้ำมากไปอาจมีโทษต่อร่างกาย

น้ำ คือ หนึ่งในส่วนประกอบของร่างกายที่มีอยู่ในสิ่งมีชีวิตทุกชนิดไม่เว้นแม้แต่ร่างกายของมนุษย์ซึ่งมีน้ำอยู่ประมาณร้อยละ 60 – 70 ของร่างกาย ในแต่ละวันเรามักได้รับน้ำในรูปแบบต่าง ๆ เช่น น้ำดื่ม น้ำในอาหาร วันละประมาณ 2 – 3 ลิตร และน้ำก็ถูกกำจัดออกจากร่างกายในรูปแบบต่างๆ เช่น เหงื่อ ปัสสาวะ ในปริมาณเท่า ๆ กับน้ำที่ร่างกายได้รับ รวมถึงน้ำก็ยังมีความสำคัญกับร่างกายในรูปแบบต่าง ๆ ไป เช่น ช่วยในการลำเลียงสาร ช่วยในการควบคุมอุณหภูมิ หรือช่วยในการขับถ่ายของเสีย เป็นต้น

แม้ว่าน้ำมีประโยชน์และมีความสำคัญต่อร่างกาย แต่การดื่มน้ำในปริมาณมากเกินไปก็สามารถก่อให้เกิดโทษกับร่างกายได้จนเกิดภาวะเป็นพิษ เรียกว่า “Water intoxication” (กินน้ำเกินพิกัดหมอเตือนเสียชีวิตทำให้ร่างกายไม่สมดุล https://www.hsri.or.th/people/media/waiting-categorize/detail/4657) ซึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อร่างกายได้รับน้ำในปริมาณที่มากเกินไปจนกระทั่งเป็นอันตรายต่อเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเซลล์สมอง

เพราะกลไกการทำงานของเซลล์จะทำทุกวิถีทางเพื่อรักษาสมดุลของสารน้ำและเกลือแร่ ทั้งส่วนที่อยู่ในเซลล์และส่วนที่อยู่นอกเซลล์ ความผิดปกติของสมดุลสารน้ำและเกลือแร่ ถือว่าเป็นภาวะที่อันตรายมาก และอาจทำให้เสียชีวิตได้ หากไม่ได้รับการบำบัดรักษาอย่างถูกต้องและทันท่วงที

อาการผิดปกติที่เกิดจากภาวะสารน้ำในร่างกายมากผิดปกติจนเกิดเป็นพิษ หรือ water intoxication จะมีอาการดังต่อไปนี้
• เกิดขึ้นในลักษณะเดียวกับการจมน้ำ
• ทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะ
• ปอดบวมน้ำ
• สมองบวม
• มีอาการเหมือนเมาสุรา
• บางรายอาจชักได้

ภาวะน้ำเป็นพิษเกิดขึ้นกับใครได้บ้าง?

ในสภาวะร่างกายโดยปกติแล้ว ร่างกายของเราสามารถกรองน้ำได้วันละประมาณ 15 ลิตร โอกาสที่จะเกิด Water intoxication จึงมีน้อยมาก โดยภาวะผิดปกติที่เกิดขึ้นนี้จะพบได้บ่อยที่สุดในเด็กเล็กที่มีอายุน้อยกว่า 6 เดือน เนื่องจากเด็กมักดื่มน้ำในปริมาณที่มากเกินกว่าร่างกายจะปรับสมดุลได้ หรืออาจเกิดขึ้นในกรณีชงนมที่เจือจางมากเกินไปจนเกิดความผิดปกติของสมดุลน้ำในร่างกายเด็ก

นอกจากนี้ ภาวะ Water intoxication อาจเกิดขึ้นกับนักกีฬา เพราะเมื่อนักกีฬาต้องออกแรงและเสียเหงื่อไปในปริมาณมาก จะส่งผลให้ปริมาณโซเดียมในร่างกายอยู่ในระดับต่ำกว่าปกติ หากยิ่งดื่มน้ำเปล่าเข้าไป ก็จะส่งผลให้ปริมาณโซเดียมที่มีน้อยอยู่แล้วในเลือดยิ่งเจือจางขึ้นไปอีก

คนปกติเองก็อาจเกิดภาวะ Water intoxication ได้ ถ้าร่างกายอยู่ในภาวะขาดน้ำ (dehydrated) แล้วดื่มน้ำเปล่าโดยไม่มีสารเกลือแร่ร่วมอยู่ด้วย ผู้ป่วยจะมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน อ่อนเพลีย ในรายที่รุนแรงหรือได้รับการแก้ไขไม่ทันจะถึงขั้นหมดสติ โคม่า และเสียชีวิตได้
การรักษาอาการภาวะน้ำเป็นพิษ

การรักษาอาการน้ำเป็นพิษ หรือ Water intoxication ทำได้โดยการให้สารน้ำและเกลือแร่ทางหลอดเลือดซึ่งหากรักษาได้ทันท่วงทีก่อนที่เซลล์ทั่วร่างกายจะบวมมากขึ้นจนเซลล์ตาย ผู้ป่วยจะหายเป็นปกติภายในเวลา 2-3 วัน และต้องติดตามตรวจวัดระดับเกลือแร่ในเลือดอย่างสม่ำเสมอ และต้องรักษาแบบค่อยเป็นค่อยไป ไม่เร็วหรือช้าจนเกินไป
ดังนั้นจึงควรดื่มน้ำให้พอควร ไม่มากหรือน้อยจนเกินไป และควรดื่มน้ำเมื่อรู้สึกกระหายเพราะร่างกายมีกลไกทางสรีรวิทยาที่รู้ว่า เมื่อไรร่างกายต้องการน้ำ หรือในเลือดมีปริมาณน้ำน้อยจนเกินไป สำหรับผู้ที่เล่นกีฬาหนักๆ ควรดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของเกลือแร่ในปริมาณที่พอควร และไม่ควรดื่มน้ำเปล่าในปริมาณมาก เพราะอาจทำให้ถึงแก่ชีวิตได้
ดื่มน้ำตามช่วงเวลา ดูแลสุขภาพให้ดีกว่าที่คิด

การดื่มน้ำเป็นประจำทุกวันอย่างสม่ำเสมอและเพียงพอกับความต้องการของร่างกาย จะช่วยสร้างสมดุลให้กับของเหลวต่างๆ ที่ไหลเวียนอยู่ภายใน หากสามารถดื่มน้ำได้ตามช่วงเวลาต่อไปนี้

1. ดื่มน้ำ 1-2 แก้ว หลังตื่นนอน เนื่องจากร่างกายของเราจะขาดน้ำขณะที่นอนหลับ การดื่มน้ำทันทีที่ตื่นนอนจึงเป็นเรื่องสำคัญ และได้ประโยชน์มากมาย เช่น ช่วยปรับสมดุลร่างกาย สร้างความสดชื่น เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง ช่วยทำความสะอาดทางเดินอาหาร กระตุ้นการสร้างเซลล์ใหม่ และช่วยให้ผิวกระจ่างใส

2. ดื่มน้ำก่อนรับประทานอาหาร 1 แก้ว จะช่วยให้กินอาหารได้น้อยลง เมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่ได้ดื่มน้ำก่อนอาหาร มีงานวิจัย ปี 2019 เปิดเผยว่า กลุ่มอาสาสมัครที่ดื่มน้ำเย็นที่ 1.6 องศาเซลเซียส หรือ 35 องศาฟาเรนไฮด์ จะช่วยให้กินอาหารได้น้อยลงกว่าอีกกลุ่มที่ดื่มน้ำอุ่น หรือน้ำร้อน เนื่องจากอุณหภูมิที่เย็นลงทำให้การย่อยอาหารช้าลง และอาจช่วยลดความอยากอาหารลงได้

3. ดื่มน้ำ 1 แก้ว เพื่อช่วยล้างมื้ออาหาร หากเรากินอาหารที่มีไฟเบอร์สูงควรต้องดื่มน้ำตามทันที เพราะไฟเบอร์หลายประเภทสามารถละลายน้ำได้ จะช่วยเรื่องระบบย่อยอาหารและการขับถ่าย

4. ดื่มน้ำแทนกาแฟในช่วงบ่าย ประมาณ 2-3 แก้ว เพื่อให้ร่างกายรู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่า

5. ดื่มน้ำ 1-2 แก้ว เมื่อมีอาการปวดศีรษะ เนื่องจากอาการปวดศีรษะที่เกิดจากการขาดน้ำสามารถเกิดขึ้นได้โดยเฉพาะกับผู้ที่เป็นไมเกรน การดื่มน้ำเพิ่มช่วยบรรเทาอาการไมเกรนให้ดีขึ้นได้

6. ดื่มน้ำผสมเกลือแร่ทั้งก่อน ระหว่าง และหลังออกกำลังกาย โดยเฉพาะผู้ที่เหงื่อออกง่ายหรือผู้ที่ออกกำลังกายทั่วไปอย่างการวิ่ง เดินเร็ว หรือขี่จักรยาน ควรดื่มน้ำ 1 แก้ว ก่อนออกกำลังกายประมาณ 30 นาที และควรจิบน้ำเรื่อย ๆ ในระหว่างที่ออกกำลังกาย

7. จิบน้ำก่อนเข้านอนในปริมาณน้อยๆ เพราะการดื่มน้ำเยอะเกินไปก่อนเข้านอน อาจทำให้ปวดปัสสาวะ ต้องลุกขึ้นมาเข้าห้องน้ำ เป็นการรบกวนการนอนหลับลึกในเวลากลางคืน หรือผู้ที่ต้องรับประทานยาก่อนนอน ผลข้างเคียงของยาอาจทำให้เกิดอาการปากแห้งหรือคอแห้งได้ อาจตั้งขวดน้ำหรือแก้วน้ำวางไว้ข้างเตียง เมื่อรู้สึกกระหายน้ำกลางดึก ก็สามารถจิบได้ทันที

ช่วยดูแลทุกปัญหาสุขภาพ เพื่อคนที่ดูแลรักษาสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ ประกันสุขภาพตามฟิต ตามก้าว ยิ่งก้าวเบี้ยยิ่งลด เพราะคนที่มีสุขภาพแข็งแรง (ฟิตกว่า) มีความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยน้อยกว่าคนที่มีสุขภาพไม่แข็งแรงไม่ฟิตร่างกาย รับลดสูงสุดถึง 20% จากราคาเบี้ยปกติ สนใจรายละเอียด คลิก https://www.smk.co.th/producthealthdetail/1 หรือ โทร.1596 Line : @smkinsurance

ย้อนกลับไปยัง

ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: 64 และ บุคคลทั่วไป 0 ท่าน